ประสบการณ์การเทรดที่ดีเกิดจากการสร้างความมั่นใจผ่านความเข้าใจในแนวคิดพื้นฐาน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แล้วก็ตาม
คำสั่งซื้อขาย (Orders): คำสั่งคือคำสั่งเดียวจากเทรดเดอร์ถึงโบรกเกอร์ให้ดำเนินการซื้อขาย (ซื้อหรือขาย) คำสั่งถูกวางผ่านแพลตฟอร์มการเทรด และมีหลายประเภท เช่น:
Market orders: ดำเนินการทันทีตามราคาตลาดปัจจุบัน
Pending orders: ตั้งไว้ให้ดำเนินการเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดในอนาคต
สกุลเงิน (Currency): การเข้าใจคำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับสกุลเงินเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเทรดฟอเร็กซ์:
คู่สกุลเงิน (Currency pair): การรวมกันของสกุลเงินจากสองประเทศที่ใช้สำหรับการเทรดฟอเร็กซ์ เช่น USD/GBP, GBP/JPY, NZD/CAD
คู่สกุลเงินรอง (Cross pairs): คู่สกุลเงินที่ไม่มี USD อยู่ในคู่ เช่น GBP/JPY, EUR/AUD
สกุลเงินหลัก (Base currency): สกุลเงินตัวแรกในคู่ เช่น ใน GBP/USD, GBP คือสกุลเงินหลัก
สกุลเงินอ้างอิง (Quote currency): สกุลเงินตัวที่สองในคู่ เช่น ใน GBP/USD, USD คือสกุลเงินอ้างอิง
ราคาซื้อและราคาขาย (Bid and Ask Price): ราคาซื้อ (Bid price) คือราคาที่โบรกเกอร์ซื้อสกุลเงินหลักและเทรดเดอร์ขายสกุลเงินหลัก
ราคาขาย (Ask price) คือราคาที่โบรกเกอร์ขายสกุลเงินหลักและเทรดเดอร์ซื้อสกุลเงินหลัก
ตราสารการเทรด (Trading Instrument):
ตราสารคือสินทรัพย์ประเภทหนึ่งในหลายประเภทที่ใช้เปิดคำสั่งซื้อขาย สินทรัพย์นี้เป็นผลิตภัณฑ์ CFD (Contract for Difference) ซึ่งคำสั่งจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์นั้นกำไรและขาดทุน (Profit and Loss): กำไรหรือขาดทุนคือความแตกต่างระหว่างราคาปิดและราคาเปิดของคำสั่งซื้อขาย
กำไร/ขาดทุน = ความแตกต่างของราคาปิดและราคาเปิด (เป็นพิปส์) × ค่าของพิปส์ (Pip Value)
คำสั่งตลาดและคำสั่งรอดำเนินการ (Market and Pending Orders):
1. คำสั่ง Stop: คำสั่ง Buy Stop คือคำสั่งให้ซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาเสนอขายปัจจุบัน และคำสั่ง Sell Stop คือคำสั่งให้ขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาเสนอซื้อปัจจุบัน
2. คำสั่ง Stop Limit (เฉพาะ MT5): คำสั่ง Buy Stop Limit คือชุดคำสั่งของ Buy Stop และ Buy Limit และต้องกำหนดราคาสองราคาซึ่งต้องถึงทั้งสองราคาจึงจะดำเนินการคำสั่งนี้ได้ Sell Stop Limit คือชุดคำสั่งของ Sell Stop และ Sell Limit และต้องกำหนดราคาสองราคาจึงจะดำเนินการคำสั่งนี้ได้
การดำเนินการตามคำสั่ง (Order Execution): เมื่อสร้างคำสั่ง คำสั่งนั้นจะดำเนินการโดยมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองวิธีต่อไปนี้: การดำเนินการตามตลาดหรือทันที ประเภทการดำเนินการเหล่านี้จะกำหนดวิธีการดำเนินการตามคำสั่ง
1. การดำเนินการตามตลาดคือคำสั่งที่เปิดขึ้นภายในเวลาไม่นานหลังจากที่เทรดเดอร์เปิดคำสั่ง และในบางกรณี อาจเกิดการลื่นไถลได้
2. การดำเนินการทันทีคือคำสั่งที่เปิดคำสั่งในราคาที่แสดงในแพลตฟอร์มการซื้อขายหรือไม่เปิดเลย หากราคามีการเปลี่ยนแปลง คุณจะได้รับการแจ้งเตือนการขอใบเสนอราคาใหม่ก่อนที่จะเปิดคำสั่ง
3. การดำเนินการทันทีมีให้เฉพาะบัญชีซื้อขายมืออาชีพเท่านั้น
คำสั่งเฮดจ์ (Hedged Orders): คำสั่งเฮดจ์ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า คำสั่งชดเชย (offsetting orders) คือคำสั่งซื้อขายสำหรับตราสารเดียวกันในทิศทางที่ตรงกันข้าม เช่น 1 ล็อต ซื้อ EURUSD และ 1 ล็อต ขาย EURUSD อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งเฮดจ์ได้ในบทความของเรา ซึ่งอธิบายรายละเอียดอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
ราคาคำสั่ง (Order Price):
คำสั่งจะถูกเปิดที่ราคาที่ผู้เทรดกำหนด นี่คือคำศัพท์ที่ใช้เพื่ออธิบายส่วนต่าง ๆ ของราคาคำสั่ง
ราคาคำสั่งโดยทั่วไปจะแสดงเป็นตัวเลขที่มีทศนิยมสูงสุดถึง 5 ตำแหน่ง เช่น 12.34213, 1.53212
Pip: คือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 ของราคา เช่น 12.34213, 1.53212
Point: คือทศนิยมตำแหน่งที่ 5 ของราคา เช่น 12.34213, 1.53212
การเปลี่ยนแปลงของราคาจะวัดเป็น pip และ/หรือ point ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงราคาจาก 1.11115 เป็น 1.11135 จะเท่ากับ 2 pips หรือ 20 points โดยควรจำไว้ว่่า 1 pip = 10 points
โปรดทราบ: ตราสารบางประเภทจะมีการนับ pip และ point ที่แตกต่างกันตามรูปแบบราคาของตราสารนั้น ๆ ดูตารางด้านล่างสำหรับตราสารเฉพาะเหล่านี้
|
| ทองคำ, เงิน, เยนญี่ปุ่น (JPY) | สกุลเงินคริปโต |
ตัวอย่างรูปแบบราคา | EURUSD: 1.21568 | USDJPY: 113.115 | BTCUSD: 6845.25 |
Pip | ทศนิยมตำแหน่งที่ 4 | ทศนิยมตำแหน่งที่ 2 | ทศนิยมตำแหน่งที่ 1 |
Point | ทศนิยมตำแหน่งที่ 5 | ทศนิยมตำแหน่งที่ 3 | ทศนิยมตำแหน่งที่ 2 |
ขนาด Pip | 0.0001 | 0.01 | 0.1 |
ขนาด pip และมูลค่า pip: คำศัพท์เหล่านี้มักใช้เมื่อพูดถึงราคาของคำสั่งซื้อขาย
ขนาด pip คือค่าของ 1 pip ในราคาของตราสาร คำนี้ใช้ในแง่ของค่า เช่น ขนาด pip ของราคาที่ 1.11115 คือ 0.0001 และในแง่ของการเปลี่ยนแปลง เช่น ขนาด pip ของการเปลี่ยนราคาจาก 1.11115 เป็น 1.11145 คือ 0.0003
มูลค่า pip คือจำนวนเงินที่ได้รับหรือขาดทุนเมื่อราคามีการเปลี่ยนแปลง 1 pip โดยคำนวณได้จากสูตร:
มูลค่า pip = จำนวนล็อต × ขนาดสัญญา × ขนาด pipปริมาณคำสั่งซื้อขาย (Order Volume): ปริมาณของคำสั่งซื้อขาย หมายถึงจำนวนตราสารในคำสั่งซื้อขายนั้น โดยปริมาณนี้มักถูกกำหนดโดยขนาดล็อตและขนาดสัญญาของตราสารนั้น ๆ
ล็อต (Lot): ล็อตหมายถึงจำนวนของตราสารในคำสั่งซื้อขาย เช่น 3 ล็อตของ USDGBP คือจำนวนของคู่สกุลเงินนี้ที่รวมอยู่ในคำสั่งซื้อขายนั้น ล็อตมาตรฐานโดยทั่วไปจะมีขนาด 100,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน แต่ยังมีประเภทล็อตอื่น ๆ ดังนี้:
ล็อตมาตรฐาน (Standard lot): 1 ล็อต = 100,000 หน่วย
มินิล็อต (Mini lot): 0.1 ล็อต = 10,000 หน่วย
ไมโครล็อต (Micro lot): 0.01 ล็อต = 1,000 หน่วย
นาโนล็อต (Nano lot): 0.001 ล็อต = 100 หน่วย
เซนต์ล็อต (Cent lot): 1 เซนต์ล็อต = 100,000 เซนต์ (ใช้เฉพาะบัญชีเซนต์มาตรฐานเท่านั้น)
ขนาดสัญญา (Contract size) คือจำนวนหน่วยของสกุลเงินฐานใน 1 ล็อต โดยปกติจะถูกกำหนดไว้ที่ 100,000 หน่วย
สเปรด (Spread): สเปรดคือความต่างของค่าพิป (pip) ระหว่างราคาบิด (bid) และราคาแอสก์ (ask) ของตราสารทางการเงิน ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บเมื่อเปิดคำสั่งซื้อขาย และเป็นแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์ประเภท Market Maker ทาง Taurex มีสเปรดแบบไดนามิก (dynamic spreads) ที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด
ยอดเงินคงเหลือ (Balance): ยอดเงินคงเหลือคือมูลค่ารวมของบัญชีเทรด รวมทั้งรายการธุรกรรมที่เสร็จสมบูรณ์ การฝากเงิน และการถอนเงิน มันคือจำนวนเงินทั้งหมดในบัญชีก่อนเปิดคำสั่งซื้อขายและหลังจากปิดคำสั่งซื้อขายแล้ว ยอดเงินคงเหลือจะไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่มีคำสั่งเปิดอยู่ เพราะไม่รวมกำไรหรือขาดทุนของคำสั่งเปิด
ทุน (Equity): ทุนคือยอดเงินในบัญชีเทรดรวมกับกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่ได้ปิด (กำไร/ขาดทุนลอยตัว) และสวอป (Swap) ทุนยังรวมถึงมาร์จิ้นที่ว่างอยู่ (free margin) ด้วย
ทุน = ยอดเงินคงเหลือ +/- กำไร/ขาดทุนลอยตัว + สวอปมาร์จิ้น (Margin): มาร์จิ้นคือจำนวนเงินที่ถูกกันไว้เพื่อรักษาคำสั่งซื้อขายให้อยู่ในสถานะเปิด โดยจะคำนวณเป็นสกุลเงินของบัญชีเทรด มาร์จิ้นยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจเมื่อต้องพูดถึง "มาร์จิ้นที่ว่าง (Free Margin)", "ระดับมาร์จิ้น (Margin Level)" และ "การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call)" ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมด้านล่างนี้
ฟรีมาร์จิ้น (Free Margin):
ฟรีมาร์จิ้นคือยอดเงินที่ยังไม่ถูกใช้เป็นมาร์จิ้นสำหรับคำสั่งซื้อขายที่เปิดอยู่ในบัญชีเทรด ยอดนี้สามารถใช้สำหรับเปิดคำสั่งใหม่ โดยต้องมีฟรีมาร์จิ้นเพียงพอที่จะครอบคลุมค่ามาร์จิ้นและสเปรดของคำสั่งใหม่ระดับมาร์จิ้น (Margin Level): ระดับมาร์จิ้นคืออัตราส่วนระหว่างอิควิตี้ (Equity) กับมาร์จิ้น (Margin) แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยคำนวณจากสูตร:
Margin Level = (Equity / Margin) × 100มาร์จิ้นคอล (Margin Call): มาร์จิ้นคอลคือการแจ้งเตือนจากแพลตฟอร์มเทรดที่ส่งถึงเทรดเดอร์เมื่ออิควิตี้ลดลงจนใกล้ถึงระดับที่อาจต้องเติมเงินเข้าบัญชี หรือปิดคำสั่งซื้อขายที่เปิดอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับปิด (Stop Out)
ระดับของมาร์จิ้นคอลจะถูกกำหนดตามประเภทของบัญชีเทรด
สต็อปเอาท์ (Stop Out): สต็อปเอาท์คือกระบวนการที่ระบบจะทำการปิดคำสั่งซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อระดับมาร์จิ้นของบัญชีลดลงถึงระดับสต็อปเอาท์ (20%)
เลเวอเรจ (Leverage): เลเวอเรจคืออัตราส่วนระหว่างอิควิตี้ของเทรดเดอร์กับเงินทุนที่โบรกเกอร์ให้ยืม ซึ่งส่งผลต่อมาร์จิ้นที่ต้องใช้สำหรับเปิดคำสั่ง เช่น 1:2, 1:200 เป็นต้น โดยอ้างอิงจากมาร์จิ้นของเทรดเดอร์เมื่อเทียบกับเงินกู้ของโบรกเกอร์
เราแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเลเวอเรจเพิ่มเติม เพราะเลเวอเรจมีความเสี่ยงเฉพาะที่เทรดเดอร์ควรเข้าใจ
สวอป (Swap): สวอปคือดอกเบี้ยที่ถูกคิดกับคำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ถูกปิดในช่วงข้ามคืน โดยจะถูกนำมาคำนวณในบัญชีเทรดเวลา 21:00 GMT+0 ของทุกวันจนกว่าคำสั่งจะถูกปิด
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสวอปได้ในบทความเฉพาะเรื่องนี้
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): การบริหารความเสี่ยงคือกระบวนการจำกัดการขาดทุนของบัญชีเทรด เทรดเดอร์มักพัฒนาแผนการเทรดที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ เนื่องจากการเทรดมีความเสี่ยงในตัวเอง จึงอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคน การมีแผนบริหารความเสี่ยงล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญก่อนเริ่มการเทรด