คำสั่ง Hedged Orders หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า offsetting orders คือคำสั่งซื้อขายในเครื่องมือเดียวกันแต่ในทิศทางตรงกันข้าม
ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1 ล็อต EURUSD และขาย 1 ล็อต EURUSD
สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับคำสั่ง Hedged Orders:
Fully hedged กับ Partially hedged:
เพื่อเข้าใจความแตกต่าง มาดูตัวอย่างนี้:
หากคุณซื้อ 5 ล็อต EURUSD และขาย 5 ล็อต EURUSD คำสั่งเหล่านี้จะถือว่าเป็น fully hedged เพราะปริมาณตรงกันเต็มจำนวน
หากคุณซื้อ 5 ล็อต EURUSD และขาย 3 ล็อต EURUSD คำสั่งเหล่านี้จะถือว่าเป็น partially hedged
มาร์จิ้นจะไม่ถูกถือครองสำหรับ 3 ล็อตที่ตรงกันในปริมาณ แต่จะยังคงถือครองมาร์จิ้นสำหรับ 2 ล็อตที่เหลือของคำสั่งซื้อ
ถ้ามาร์จิ้นถูกถือครองในคำสั่ง Hedged ของฉันล่ะ?
หากมาร์จิ้นถูกถือครองสำหรับคำสั่ง Hedged อาจเป็นเพราะเหตุผลดังนี้:
คุณกำลังเทรดใน suffixes (บัญชีย่อย)
คำสั่ง Hedged ต้องเป็นเครื่องมือเดียวกันจากประเภทบัญชีเดียวกัน
แม้ว่าแต่ละประเภทบัญชีจะมีสเปคสัญญาที่แตกต่างกันสำหรับเครื่องมือเทรดเดียวกัน แต่คำสั่งจะไม่ถือว่าเป็น Hedged หากใช้บัญชีย่อยที่ต่างกันสำหรับคำสั่งซื้อและขาย เนื่องจากแต่ละประเภทบัญชีมีเงื่อนไขตลาดที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีคำสั่งซื้อ EURUSD และคำสั่งขาย EURUSD ในบัญชีที่ต่างกัน มาร์จิ้นเต็มจำนวนจะถูกถือครองสำหรับทั้งสองคำสั่ง
2. คุณได้ปิดบางส่วนของคำสั่ง Hedged
เมื่อสองคำสั่งเป็น Hedged และคุณปิดคำสั่งใดคำสั่งหนึ่ง คำสั่งที่เหลือจะกลายเป็นคำสั่งไม่ Hedged อัตโนมัติ และจะถูกถือครองมาร์จิ้นเต็มจำนวน
การ Stop out ในคำสั่ง Hedged:
คำสั่ง Hedged อาจถูก Stop out ใน MT5 ได้หากคำสั่งนั้นทำให้ยอด Equity ติดลบ (equity < 0) ในกรณีนี้ บัญชีเทรดจะถูก Stop out และคำสั่งจะถูกปิดเพื่อป้องกันยอดคงเหลือติดลบ
การปิดคำสั่ง Hedged:
เมื่อเลือกปิดคำสั่ง Hedged คู่สั่งที่ตรงกันจะกลายเป็นคำสั่งไม่ Hedged อัตโนมัติ และจะถูกเรียกเก็บมาร์จิ้นสำหรับคำสั่งที่เหลือ
ทำไมฉันถึงปิดคำสั่ง Hedged ไม่ได้?
เหตุผลอาจเป็นเพราะคุณพยายามปิดคำสั่งในช่วงที่มีข้อกำหนดมาร์จิ้นสูงขึ้น ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง